เนื้อหาภายใน
หน้าแรก
คำนำ
พระบรมสารีริกธาตุ
  ความหมาย
  ประเภท
  คุณลักษณะ
  ลักษณะต่างๆ
  พระธาตุลอยน้ำ
ตำนานการเกิด
  ตำนานการเกิด
  สถานที่ประดิษฐาน
  พระอดีตพุทธเจ้า
  ธาตุปรินิพพาน
พุทธเจดีย์
  พุทธเจดีย์
  บุคคลที่ควรสร้างสถูป
  เจดีย์ประจำนักษัตร
พระธาตุพุทธสาวก
  พระธาตุพุทธสาวก
  สาวกธาตุพุทธกาล
  สาวกธาตุปัจจุบัน
บูชาพระธาตุ
  บูชาพระธาตุ
  อัญเชิญพระธาตุ
  บทบูชาพระธาตุ
  สรงน้ำพระธาตุ
  ในพุทธดำรัส และพระสาวก
  ในเทวดาและเปรต
พระธาตุปาฏิหาริย์
  พระธาตุปาฏิหาริย์
  ลักษณะการเกิด
  ประสบการณ์พระธาตุ
ภาพถ่ายพระธาตุ
  พระบรมธาตุ 1
พระบรมธาตุ 2
พระบรมธาตุ 3
  สาวกธาตุพุทธกาล
  สาวกธาตุปัจจุบัน
  วิธีถ่ายภาพพระธาตุ
บทความเกี่ยวกับพระธาตุ
พิพิธภัณฑ์พระธาตุ
กระดานข่าวสนทนา
บรรณานุกรม
บอกกล่าว

Quick link : อานิสงส์การบูชาพระสถูปหรือพระธาตุ ใน พุทธดำรัสและพระอรหันตสาวก | เทวดาและเปรต

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถระ-เถรีคาถา

พระคัมภีร์เล่มนี้ เป็นที่ชุมนุมเรื่องราวเบ็ดเตล็ด ที่ประกอบด้วยคัมภีร์ย่อย 4 คัมภีร์ คือ วิมานวัตถุ (เรื่องราวที่เหล่าเทพบุตร - เทพธิดาเล่าถึงกรรมดีในอดีตของตน 85 เรื่อง) เปตวัตถุ (เรื่องราวที่เหล่าเปรตเล่าถึงกรรมชั่วในอดีตของตน 51 เรื่อง) เถรคาถา (คาถาของพระอรหันตเถระ 265 รูปที่กล่าวแสดงความรู้สึกต่างๆ ในการบรรลุธรรม เป็นต้น) เถรีคาถา (คาถาของพระอรหันตเถรี 73 รูป ที่กล่าวแสดงความรู้สึกต่างๆ เช่นกัน) สำหรับอรรถกถาของคัมภีร์เล่มนี้คือ คัมภีร์ปรมัตถทีปนี ซึ่งมีการเล่าขยายความและอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกด้วย

เรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกับพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุ หรือ พระสถูปเจดีย์ พบปรากฎอยู่ใน วิมานวัตถุ และ เปตวัตถุ ซึ่งผมเห็นว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เกี่ยวกับแรงศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ของผู้คนในอดีต แม้บางท่านจะเกิดมาไม่ทันพบพระบรมศาสดาเช่นเดียวกับพุทธศาสนิกชนในปัจจุบัน แต่ก็ได้สร้างผลกรรมอันเป็นแนวทาง ที่เหล่าชนรุ่นหลังพึงได้เป็นแบบอย่าง ในการสั่งสมบุญไว้เป็นเสบียงในการเดินทางที่ยาวนานของสังสารวัฏ อีกทั้งยังมีข้อคิดและคำสอนดีๆ จากเหล่าเทพบุตรเทพธิดา รวมถึงเปรตตนนั้นด้วย เท่าที่ทางเว็บไซต์พระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุพระพุทธสาวก พยายามค้นหามา พบเรื่องราวของเหล่าเทพบุตร-เทพธิดา จำนวน 8 เรื่อง และเรื่องราวของเปรต 1 เรื่อง ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

กรุณาเลือกเรื่องที่ท่านสนใจ:

คุตติลวิมาน
ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในคุตติลวิมาน

(ในคัมภีร์ปรมัตถทีปนีอธิบายว่า เมื่อพระโมคคัลลานะได้จาริกไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้พบกับนางเทพธิดา 36 นาง จึงได้สอบถามถึงบุรพกรรมต่าง ๆ ที่ทำมาแต่หนหลัง แต่ขอตัดตอนมาเพียงองค์เดียว ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการบูชาพระสถูปนะครับ - relicsofbuddha.com)

พระมหาโมคคัลลานเถระถามว่า

ดูกรแม่เทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก มีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ สถิตอยู่เหมือนดาวประกายพฤกษ์ เพราะบุญกรรมอะไร ท่านจึงมีวรรณะงามเช่นนี้ ฯลฯ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ เพราะบุญกรรมอะไร?


นางเทพธิดานั้น อันพระโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลื้มใจ ได้พยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า ดิฉันได้นำของหอม ๕ อย่าง ไปประพรมที่องค์พระสถูปทองคำ สำหรับบรรจุพระบรมธาตุของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า นิมนต์พระคุณเจ้าดูวิมานของดิฉันนี้เถิด ยิ่งกว่านั้น ดิฉันยังเป็นนางฟ้าที่มีรูปร่างและผิวพรรณน่ารัก ทั้งยังเป็นผู้เลิศกว่านางอัปสรตั้งพันนางอีกด้วย นิมนต์พระคุณเจ้าดูผลแห่งบุญคือการถวายของหอม ๕ อย่างนั้นเถิด เพราะบุญกรรมนั้น ดิฉันจึงมีวรรณะงามเช่นนี้ ฯลฯ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ เพราะบุญกรรมนั้น.

(หน้า 41 ข้อ 33)


เสสวดีวิมาน
ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในเสสวดีวิมาน

เมื่อพระวังคีสเถระจะไต่ถามถึงบุรพกรรมของนางเทพธิดานั้น จึงสรรเสริญวิมานของเธอเสียก่อนเป็นปฐม ด้วยคาถา ๗ คาถา ความว่า... (ขอข้ามเนื้อความบรรยายวิมานครับ - relicsofbuddha.com) ... ท่านได้สมบัติทิพย์ทั้งนี้ เป็นผลแห่งการประพฤติทางกาย วาจา ใจ และการฝึกฝนอินทรีย์อย่างไร เพราะผลกรรมอะไร ท่านจึงมาเกิดในวิมานนี้ ดูกรนางเทพธิดาผู้มีขนตางอนงาม ขอท่านจงตอบถึงผลกรรม เป็นเหตุได้วิมานที่ท่านได้แล้วนี้ เป็นไปตามที่อาตมาถามท่านแล้วตามลำดับด้วยเถิด?

ลำดับนั้น นางเทพธิดาตอบว่า ก็วิมานที่ดิฉันได้แล้วนี้ มีฝูงหงส์ นกกระเรียน ไก่ฟ้า นกกด และนกเขาไฟ เที่ยวร่อนร้องไปมา ทั้งเต็มไปด้วยหมู่นกนางนวล นกกะทุง และพญาหงส์ทอง ซึ่งเป็นนกทิพย์ เที่ยวบินไปมาอยู่ตามลำน้ำ และอึงคนึงไปด้วยฝูงนกประเภทอื่นๆ อีก คือ นกเป็ดน้ำ นกค้อนหอย นกดุเหว่าลาย นกดุเหว่าขาว มีทั้งต้นไม้ดอก ไม้ต้น ไม้ผล อันเกิดเองหลายอย่างต่างพรรณ คือ ต้นแคฝอย ต้นหว้า ต้นอโศก พระคุณเจ้าขา ดิฉันได้วิมานเหตุนี้ด้วยเหตุผลอันใด ดิฉันจะเล่าเหตุผลอันนั้นถวายพระคุณเจ้านิมนต์ฟังเถิด คือ มีหมู่บ้านหมู่หนึ่งชื่อนาฬกคาม ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระนครราชคฤห์

ดิฉันเป็นบุตรสะใภ้ประจำตระกูลของบ้านนั้นอันตั้งอยู่ภายในบุรี ชุมนุมในหมู่บ้านนั้นเรียกดิฉันว่า เสสวดี ดิฉันมีใจชื่นบาน ได้ก่อสร้างกุศลกรรมไว้ในชาตินั้น คือ ได้บูชาพระธาตุพระธรรมเสนาบดี นามว่า อุปติสสะ ซึ่งเป็นที่บูชาของทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลายผู้มากไปด้วยคุณความดีมีศีลเป็นต้นหาประมาณมิได้ซึ่งนิพพานไปแล้ว ด้วยเครื่องสักการะหลายอย่าง ล้วนแต่รัตนะและดอกคำ ก็แหละครั้นบูชาพระธาตุของพระผู้แสวงหาซึ่งคุณอย่างยอดยิ่ง ผู้ถึงอนุปทิเสสนิพพานธาตุแล้ว ซึ่งในที่สุดยังเหลืออยู่แต่พระธาตุเท่านั้น ครั้นดิฉันละกายมนุษย์นั้นแล้ว จึงได้มาเกิดในดาวดึงส์สวรรค์ชั้นไตรทศ อยู่ประจำวิมานในเทวโลก.

จบ เสสวดีวิมานที่ ๗. (หน้า 50 ข้อ 35)


วิสาลักขิวิมาน
ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในวิสาลักขิวิมาน

สมเด็จอัมรินทราธิราชตรัสถามนางสุนันทาเทพธิดาว่า

[๓๗] ดูกรแม่เทพธิดาผู้มีนัยย์ตางาม เธอชื่อไร ได้ทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มีหมู่นางฟ้าแวดล้อมเป็นบริวารเดินวนเวียนอยู่รอบๆ ในสวนจิตรลดาอันน่ารื่นรมย์ ในคราวที่พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ล้วนแต่ขึ้นม้า ขึ้นรถตบแต่งร่างกายวิจิตรงดงาม เข้าไปยังสวนนั้นแล้ว จึงมาในที่นี้ แต่เมื่อเธอพอมาถึงในที่นี้ กำลังเที่ยวชมสวน รัศมีก็สว่างไสวไปทั่วจิตรลดาวัน โอภาสของสวนมิได้ปรากฏ รัศมีของท่านมาข่มเสีย ดูกรแม่เทพธิดา ฉันถามเธอแล้ว ขอเธอจงบอกว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร?


นางสุนันทาเทพธิดาผู้เป็นอัครชายาทูลตอบว่า

ขอเดชะ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมเทพ ผู้ทรงบำเพ็ญทานมาแต่เก่าก่อน รูปอันสวยงาม คติ ฤทธิ์ และอานุภาพของหม่อมฉัน ย่อมมีได้ด้วยกรรมอันใด ขอพระองค์จงทรงสดับกรรมนั้น

หม่อมฉันเป็นอุบาสิกามีนามว่า สุนันทา อยู่ในพระนครราชคฤห์อันน่ารื่นรมย์ ถึงพร้อมด้วยศรัทธา และ ศีล ยินดีในการจำแนกทานทุกเมื่อ คือ หม่อมฉันมีจิตเลื่อมใส ได้ถวายผ้านุ่งผ้าห่ม ภัตตาหาร เสนาสนะและเครื่องประทีป ในภิกษุทั้งหลายผู้เที่ยงตรง ทั้งได้รักษาอุโบสถ อันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ตลอดวัน ๑๔ ค่ำ วัน ๑๕ ค่ำ และวัน ๘ ค่ำแห่งปักษ์ และตลอดปฏิหาริยปักษ์ เป็นผู้สำรวมอยู่ในศีลเป็นนิตย์ หม่อมฉันยินดีแล้วในสิกขาบททั้ง ๕ คือ งดเว้นจากปาณาติบาต จากความเป็นขโมย จากการประพฤตินอกใจ ระมัดระวังจากการพูดเท็จ และเว้นไกลจากการดื่มน้ำเมา เป็นผู้ฉลาดในอริยสัจจธรรมทั้ง ๔ เป็นอุบาสิกาของพระสมณโคดมผู้มีพระจักษุ ผู้เรืองยศ บิดาของหม่อมฉันใช้ให้หม่อมฉันนำดอกไม้มาทุกๆ วัน หม่อมฉันได้บูชาที่สถูป อันเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุของพระผู้มีพระภาคทุกๆ วัน ในวันอุโบสถ หม่อมฉันมีใจผ่องใส ได้ถือเอาพวงมาลัย ของหอมและเครื่องลูบไล้ไปบูชาพระสถูปของพระผู้มีพระภาคนั้นด้วยมือของตน

ข้าแต่พระองค์ผู้จอมเทพ รูปอันสวยงาม คติ ฤทธิ์ และอนุภาพเช่นนี้ เกิดมีแก่หม่อมฉันเพราะกรรมนั้น มิใช่ว่าผลที่หม่อมฉันได้บูชาพระสถูปด้วยพวงมาลัย และที่หม่อมฉันได้รักษาศีล จะให้ผลเท่านั้นก็หามิได้ ยังกลับให้หม่อมฉันพึงได้สกทาคามี ตามความปรารถนาของหม่อมฉันอีกด้วย.

จบ วิสาลักขิวิมานที่ ๙ (หน้า 53 ข้อ 37)


ปีตวิมาน
ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในปีตวิมาน

สมเด็จอัมรินทราธิราชตรัสถามนางเทพธิดาตนหนึ่ง

[๔๗] ดูกรนางเทพธิดาผู้เจริญ ผู้นุ่งห่มผ้าล้วนแล้วด้วยสีเหลือง มีธงก็เหลืองตกแต่งด้วยเครื่องอลังการเหลือง มีกายอันลูบไล้ด้วยจุณจันทน์เหลือง ทัดทรงดอกบัวหลวง มีปราสาทอันแล้วด้วยทองคำ มีที่นอนและที่นั่งสีเหลือง ทั้งภาชนะที่รองรับขาทนียะและโภชนียะสีเหลือง มีฉัตรสีเหลือง รถสีเหลือง มีม้าและพัดล้วนแล้วสีเหลือง เมื่อชาติก่อนท่านเป็นมนุษย์ได้กระทำบุญอะไรไว้ ฉันถามท่านแล้วขอท่านจงบอก นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร

นางเทพธิดาตอบว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้น้อมนำเอาดอกบวบขมซึ่งมีรสขม ไม่มีใครชอบ จำนวน ๔ ดอก ไปบูชาพระสถูปตั้งจิตอุทิศต่อพระบรมธาตุของพระบรมศาสดา ด้วยจิตอันเลื่อมใสกำลังส่งใจไปในพระบรมธาตุของพระศาสดานั้น ไม่ทันได้พิจารณาถึงหนทางที่มาแห่งแม่โค ทันใดนั้น แม่โคได้ขวิดหม่อมฉันผู้มีความปรารถนาแห่งใจยังไม่ถึงพระสถูป ถ้าหม่อมฉันได้สั่งสมบุญนั้นไซร้ หม่อมฉันพึงได้ทิพยสมบัติยิ่งกว่านี้เป็นแน่ ข้าแต่ท้าวมัฆวานจอมเทพผู้เทพกุญชร เพราะบุญกรรมนั้น หม่อมฉันละอัตภาพมนุษย์แล้ว จึงได้มาอภิรมย์อยู่กับพระองค์

ท้าวมัฆวานผู้เป็นอธิบดีแห่งทศเทพผู้ทรงเทพกุญชร ได้ทรงสดับเนื้อความนี้แล้ว เมื่อจะทรงยังทวยเทพเจ้าชาวดาวดึงส์สวรรค์ให้เลื่อมใส ได้ตรัสกะมาตลีเทพบุตรว่า

ดูกรมาตลี จงดูผลแห่งกรรมอันวิจิตรน่าอัศจรรย์นี้ ทานวัตถุแม้มีประมาณน้อยอันนางเทพธิดานี้ทำแล้ว ย่อมเป็นบุญมีผลมาก เมื่อจิตเลื่อมใสในพระตถาคตสัมพุทธเจ้า ในพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือในสาวกของพระตถาคต ทักษิณา ย่อมไม่เชื่อว่ามีผลน้อยเลย มาเถิดมาตลี แม้เราทั้งหลายพึงรีบเร่งบูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระตถาคตให้ยิ่งๆ ขึ้นเถิด เพราะการสั่งสมบุญย่อมนำสุขมาให้ เมื่อพระตถาคตจะยังทรงพระชนม์อยู่ หรือเสด็จปรินิพพานไปแล้วก็ตาม เมื่อจิตสม่ำเสมอผลก็ย่อมสม่ำเสมอ เพราะเหตุที่ตั้งจิตไว้ชอบธรรม สัตว์ทั้งหลายย่อมไปสู่สุคติ ทายกทั้งหลายได้กระทำสักการะบูชาในพระตถาคตเหล่าใดไว้แล้ว ย่อมไปสู่สวรรค์ พระตถาคตเหล่านั้นย่อมเสด็จอุบัติขึ้น เพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมากหนอ.

จบ ปีตวิมานที่ ๙. หน้า 66 ข้อ 47


นาควิมานที่ ๑
ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในนาควิมานที่ ๑

พระมหาโมคคัลลานเถระได้ถามเทพบุตรตนหนึ่งว่า

[๖๐] ท่านขึ้นนั่งบนคอเทพกุญชรเผือกผ่อง มีงางอนงาม ทั้งกำลังวังชาว่องไวยิ่ง สมเป็นมิ่งคชสาร ยอดเยี่ยม ผูกสอดไปด้วยสายรัดประคนทองอันเรียบร้อย เลื่อนลอยมาในอากาศเวหา ที่งาทั้งสองของคชสาร มีสระโบกขรณี ๔ เหลี่ยม เต็มเปี่ยมด้วยน้ำใสสะอาด อันบุญกรรมธรรมชาติเนรมิตให้ดาดาษไปด้วยปทุมพุ่มสลอน มีดอกอ่อนตูมบานแย้มเกสร ในดอกปทุมทุกดอกมีหมู่นางเทพอัปสร ออกมาบรรเลงดนตรี ฟ้อนรำ นำให้เกิดความรื่นเริงใจ ท่านเกิดเป็นเทพบุตร มีฤทธิ์อานุภาพอันยิ่งใหญ่ เมื่อท่านเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ ท่านมีอานุภาพอันรุ่งเรือง และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญกรรมอะไร?

เทพบุตรนั้น อันพระโมคคัลลานเถระถามแล้วมีความปลาบปลื้มใจจึงพยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า เมื่อชาติก่อน ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส ได้นำเอาดอกไม้ ๘ กำ ไปบูชาที่พระสถูปของพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากัสสป ด้วยมือทั้งสองของตน ฯลฯ ข้าพเจ้ามีวรรณะงามเช่นนี้ เพราะบุญกรรมนั้น.

*หมายเหตุ ในคัมภีร์ปรมัตถทีปนี เล่าถึงตอนนี้ว่า หลังจากที่องค์พระกัสสปพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ผู้คนในสมัยนั้น ทั้งพระราชา ข้าราชบริพาร และประชาชนทั่วไป ต่างพากันนำดอกไม้ไปบูชาพระสถูปทอง ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุกันทุกวัน ดอกไม้จึงเป็นสิ่งหายาก อุบาสกถือเงินไปในตลาดเพื่อหาซื้อดอกไม้ ดอกละ 1 กหาปณะ ก็หาซื้อไม่ได้ จึงเข้าไปขอซื้อในสวนดอกไม้ ชาวสวนกล่าวว่าดอกไม้ดีๆ ไม่มีเหลือเลย เชิญท่านเข้าไปหาเองในสวนเถิด อุบาสกจึงเข้าไปในสวน เก็บได้แต่ดอกไม้ที่ร่วงอยู่โคนต้นมา 8 ดอก ชาวสวนจึงกล่าวยกให้โดยไม่คิดราคา แต่อุบาสกผู้นั้นไม่ยอม วางเงินไว้ให้ 8 กหาปณะ แล้วจึงนำดอกไม้ไปบูชาที่ลานพระเจดีย์ด้วยจิตที่เลื่อมใส - relicsofbuddha.com

จบ นาควิมานที่ ๑๐ (หน้า 85 ข้อ 60)


จูฬรถวิมาน
ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในจูฬรถวิมาน

(เริ่มต้นด้วยการสนทนาในป่า ระหว่างพระมหากัจจายนเถระกับสุชาตกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าอัสสกะขณะกำลังล่าสัตว์ พระมหาเถระได้สอนพระราชกุมารด้วยภาษิตอันไพเราะ ยังผลให้พระราชกุมารเลื่อมใสและขอพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกและสมาทานศีล ซึ่งพระมหาเถระแจ้งให้พระองค์ทราบว่าจะหมดอายุขัยภายใน 5 เดือน เมื่อพระกุมารสิ้นแล้ว พระมหาเถระจึงได้เจอกับเทพบุตรองค์หนึ่ง สนทนาได้ใจความดังนี้ - relicsofbuddha.com)

พระเถระกล่าวว่า

พระอาทิตย์มีรัศมีตั้งพัน โคจรไปในท้องฟ้าส่องแสงสว่างไปทั่วทิศฉันใด รถใหญ่ของท่านนี้ก็ฉันนั้น วัดโดยรอบยาวได้ร้อยโยชน์ หุ้มด้วยแผ่นทองคำรอบด้าน งอนรถนั้นวิจิตรด้วยแก้วมุกดา และแก้วมณีลอยจำหลักเป็นรูปดอกไม้ลดาวัลย์ ตระการไปด้วยแก้วไพฑูรย์ อันบุญกรรมตบแต่งแล้ว งามเพริดแพร้วด้วยทองคำและเงิน และปลายงอน รถนี้อันบุญกรรมตบแต่งด้วยแก้วไพฑูรย์ แอกรถวิจิตรไปด้วยแก้วทับทิม สายเชือกล้วนแล้วไปด้วยทองคำและเงิน อนึ่ง ม้าเหล่านี้ฝีเท้าว่องไวดังใจ งามรุ่งเรือง ท่านยืนอยู่บนรถทองดูองอาจ ดุจท้าวสักกเทวราชผู้เป็นใหญ่กว่าหมู่ทวยเทพ ผู้ทรงราชรถอันเทียมด้วยม้าอาชาไนยตั้งพัน ฉะนั้น อาตมภาพขอถามท่านผู้มียศ ผู้ฉลาด รถอันยิ่งใหญ่นี้ ท่านได้มาอย่างไร?

สุชาตเทพบุตรตอบว่า

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ชาติก่อน ข้าพเจ้าเป็นราชบุตรนามว่า สุชาตกุมาร พระคุณเจ้าอนุเคราะห์สั่งสอนข้าพเจ้าให้ตั้งอยู่ในความสำรวม และ พระคุณเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าจะสิ้นอายุ ได้ให้พระบรมสารีริกธาตุแก่ข้าพเจ้า โดยกล่าวว่า ดูกรสุชาตราชกุมาร ท่านจงบูชาพระบรมสารีริกธาตุนี้เถิด พระบรมสารีริกธาตุนี้ จักเป็นประโยชน์แก่ท่าน ข้าพเจ้าได้บูชาพระบรมสารีริกธาตุนั้น ด้วยของหอมและพวงมาลัย ขวนขวายในการทำบุญให้ทาน ละร่างมนุษย์นั้นแล้ว ได้ไปบังเกิดในสวนนันทวัน เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามีหมู่นางเทพอัปสรฟ้อนรำ ขับร้องห้อมล้อม รื่นเริงอยู่ในสวนนันทวันอันประเสริฐ น่ารื่นรมย์ เกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่สกุณชาตินานาชนิด.

จบ จูฬรถวิมานที่ ๑๓. (หน้า 87 ข้อ 63)


อเนกวัณณวิมาน
ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในอเนกวัณณวิมาน

พระมหาโมคคัลลานเถระ ได้ถามเทพบุตรตนหนึ่งว่า

[๘๒] ท่านอันหมู่นางเทพอัปสรแวดล้อมแล้ว ขึ้นสู่วิมานอันมีรัศมีต่างๆ เป็นที่ระงับความกระวนกระวาย และความเศร้าโศกมีรูปอันวิจิตรต่างๆ อันบุญกรรมตบแต่งดีแล้ว บันเทิงอยู่ดุจท้าวสุนิมมิตเทวราชผู้เป็นใหญ่กว่าเทวดา ไม่มีผู้จะเสมอเหมือนท่าน ไม่มีใครแม้ที่ไหนยิ่งไปกว่าท่านด้วยยศบุญและฤทธิ์ เทพเจ้าทั้งหมด และเทพเจ้าชั้นไตรทศก็พากันมาประชุมไหว้ท่าน ดุจมนุษย์และเทวดาไหว้พระจันทร์ ซึ่งปรากฏในวันเพ็ญฉะนั้น เทพบุตรและนางเทพอัปสรเหล่านี้ พากันมาฟ้อนรำขับร้องอยู่โดยรอบเพื่อให้ท่านเบิกบานใจ ท่านเป็นผู้ถึงความเป็นเทพเจ้าผู้มีฤทธิ์ท่านมีอานุภาพมาก เมื่อท่านเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ ท่านมีอานุภาพอันรุ่งเรือง และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญอะไร?

เทพบุตรนั้น อันพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลาบปลื้มใจ จึงพยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นสาวกของพระชินเจ้าทรงพระนามว่าสุเมธ เป็นปุถุชนยังไม่ได้ตรัสรู้มรรคผล บวชอยู่ ๗ พรรษา เมื่อพระศาสดาทรงพระนามว่าสุเมธผู้ชนะมาร มีโอฆะอันข้ามได้แล้ว ผู้คงที่ ปรินิพพานแล้ว ข้าพเจ้านั้นได้ไหว้รัตนเจดีย์อันหุ้มด้วยข่ายทองคำ ยังใจให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้น ข้าพเจ้าไม่มีการให้ทาน เพราะข้าพเจ้าไม่มีไทยวัตถุให้ แต่ได้ชักชวนชนเหล่าอื่นในการให้ทานนั้น ว่า ท่านทั้งหลายจงบูชาพระธาตุของพระพุทธเจ้าผู้ควรบูชาเถิด ได้ยินว่าพวกท่านจักไปสู่สวรรค์ เพราะการบูชาพระบรมธาตุอย่างนี้ กุศลกรรมเท่านั้นอันข้าพเจ้าได้กระทำแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้เสวยสุขอันเป็นทิพย์ด้วยตนเอง บันเทิงใจอยู่ในท่ามกลางหมู่เทพเจ้าชาวไตรทศ ข้าพเจ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งบุญนั้น.

*หมายเหตุ ในคัมภีร์ปรมัตถทีปนีกล่าวเพิ่มเติมว่า อุบาสกผู้นี้หลังจากลาสิกขาบทแล้ว ได้ทำหน้าที่ปัดกวาดและดูแลของใช้ต่างๆ บริเวณลานพระเจดีย์ รักษานิจศีลและอุโบสถศีล ฟังธรรมและชักชวนผู้อื่นให้ทำบุญ เมื่อสิ้นชีวิตได้บังเกิดเป็นเทพบุตรผู้มีศักดิ์ใหญ่ อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จวบจนสิ้นอายุ เที่ยวไปมาอยู่บนมนุษยโลกและดาวดึงส์ จนกระทั่งถึงยุคของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้บังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้วยเศษแห่งผลกรรมนั้นๆ - relicsofbuddha.com

จบ อเนกวัณณวิมานที่ ๘. (หน้า 110 ข้อ 82)


สุนิกขิตตวิมาน
ว่าด้วยผลบุญที่ทำให้ไปเกิดในสุนิกขิตตวิมาน

พระมหาโมคคัลลานเถระถามเทพบุตรตนหนึ่งว่า

[๘๕] วิมานแก้วมณีของท่านนี้ สูง ๑๒ โยชน์โดยรอบ มีปราสาท ๗๐๐ มีเสาล้วนแล้วไปด้วยแก้วไพฑูรย์ ปูลาดด้วยเครื่องลาดอันงามยิ่ง ท่านอยู่ดื่ม และบริโภคสุธาโภชน์ในวิมานนี้ อนึ่ง เทพบุตรผู้นี้มีเสียงอันไพเราะพากันมาบรรเลงพิณทิพย์ เบญจกามคุณซึ่งมีรสเป็นทิพย์ก็มีอยู่พร้อมในวิมานนี้ ทั้งเหล่าเทพนารีปกคลุมด้วยเครื่องประดับทองคำ พากันมาฟ้อนรำอยู่ ท่านมีวรรณะเช่นนี้เพราะบุญอะไร อิฏฐผลย่อมสำเร็จแก่ท่านในวิมานนี้ และโภคสมบัติอันเป็นที่รักแห่งใจทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมเกิดขึ้นแก่ท่านเพราะบุญอะไร ดูกรเทพเจ้าผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน ท่านเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไร ท่านมีอานุภาพอันรุ่งเรืองและมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญอะไร?

เทพบุตรนั้น อันพระมหาโมคคัลลานเถระถามแล้ว มีความปลาบปลื้มใจ จึงพยากรณ์ปัญหาแห่งผลกรรมที่ถูกถามนั้นว่า ข้าพเจ้าได้จัดดอกไม้ อันมหาชนจัดไว้แล้วไม่เรียบร้อย แล้วได้ประดิษฐานไว้ที่พระสถูปของพระสุคตเจ้า จึงเป็นผู้มีฤทธิ์มากและมีอานุภาพมาก พรั่งพร้อมด้วยกามคุณอันเป็นทิพย์ ข้าพเจ้ามีวรรณะเช่นนี้เพราะบุญนั้น อิฏฐผลสมบัติอันเป็นที่รักแห่งใจทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมเกิดแก่ข้าพเจ้าเพราะบุญนั้น ข้าพเจ้ามีอานุภาพอันรุ่งเรือง และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญนั้นๆ.

จบ สุนิกขิตตวิมานที่ ๑๑ (หน้า 120 ข้อ 85)


ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ
ว่าด้วยบุพกรรมของธาตุวิวัณณเปรต

พระมหากัสสปเถระถามเปรตตนหนึ่งว่า

[๑๒๐] ท่านยืนอยู่ในอากาศ มีกลิ่นเน่าเหม็นฟุ้งไปและหมู่หนอนพากันบ่อนฟอนกินปาก อันมีกลิ่นเหม็นเน่าของท่าน เมื่อก่อนท่านทำกรรมอะไรไว้ เพราะการฟุ้งไปแห่งกลิ่นเหม็นนั้นนายนิรยบาลถือเอาศาตรามาเฉือนปากของท่านเนืองๆ รดท่านด้วยน้ำแสบแล้วเชื่อดเนื้อไปพลาง ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจหรือ เพราะวิบากแห่งกรรมอะไร ท่านจึงได้ประสบความทุกข์อย่างนี้?

เปรตนั้นตอบว่า

ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ เมื่อก่อน กระผมเป็นอิสรชนอยู่ที่ภูเขาวงกตอันเป็นที่รื่นรมย์ ใกล้กรุงราชคฤห์ เป็นผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย แต่กระผมได้ห้ามปรามภรรยา ธิดา และลูกสะใภ้ของกระผม ซึ่งพากันนำพวงมาลาดอกอุบลและเครื่องลูบไล้อันหาค่ามิได้ ไปสู่สถูปเพื่อบูชา บาปนั้นกระผมได้ทำไว้แล้ว จึงได้เสวยทุกขเวทนาเห็นประจักษ์ และจักหมกไหม้อยู่ในนรกอันหยาบช้าทารุณ ๘๖,๐๐๐ ปี เพราะติเตียนการบูชาพระสถูป ก็เมื่อการบูชาและการฉลองพระสถูปของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อันมหาชนให้เป็นไปอยู่ ชนเหล่าใดมาประกาศโทษแห่งการบูชาพระสถูปนั้น เหมือนกระผม ชนเหล่านั้นพึงห่างเหินจากบุญ

ขอท่านจงดู ชนทั้งหลายซึ่งทัดทรงดอกไม้ตบแต่งร่างกายเหาะมาทางอากาศเหล่านี้เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส เป็นผู้มั่งคั่งมียศเสวยอยู่ซึ่งวิบากแห่งการบูชาด้วยดอกไม้ ชนทั้งหลายผู้มีปัญญา ได้เห็นผลอันน่าอัศจรรย์น่าขนพองสยองเกล้าอันไม่เคยมีนั้นแล้ว ย่อมทำการนอบน้อมวันทาพระมหามุนีนั้น กระผมไปจากเปตโลกนี้แล้ว ได้กำเนิดเป็นมนุษย์จักเป็นผู้ไม่ประมาท ทำการบูชาพระสถูปเนืองๆ เป็นแน่แท้.

จบ ธาตุวิวัณณเปตวัตถุที่ ๑๐. (หน้า 175 ข้อ 120)


next>>>

พระบรมสารีริกธาตุ และ พระธาตุพระพุทธสาวก
พุทธบูชา 2542 - 2554 @ http://www.relicsofbuddha.com